วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

การศึกษาสำหรับเด็กพิเศษ 300-2112

คณะผู้จัดทำ

1. นายกำพล              เลื่อนเกื้อ        รหัส 3095511001

2. นายจักรกฤษณ์           มหาวิจิตร       รหัส 3095516001

3. นางสาวฤทัยรัตน์         รัตนพันธ์       รหัส 3095516005



วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล

ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
.. ๒๕๕๒
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๔ และมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการจัดการศึกษา
สำหรับคนพิการ พ.. ๒๕๕๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงออกประกาศกำหนด
หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำ
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.. ๒๕๕๒
ข้อ ๒ การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ให้มีองค์ประกอบของแผนตามข้อ ๓
และกระบวนการจัดทำแผนตามข้อ ๔
ข้อ ๓ องค์ประกอบของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ประกอบด้วยข้อมูลดังต่อไปนี้
() ข้อมูลทั่วไป เช่น วัน เดือน ปีเกิด ประเภทความพิการ ชื่อตัว ชื่อสกุล และที่อยู่ของผู้เรียน บิดา มารดา ผู้ปกครอง เป็นต้น
() ข้อมูลด้านการแพทย์ หรือด้านสุขภาพ
() ข้อมูลด้านการศึกษา
() การกำหนดแนวทางการศึกษาและการวางแผนการจัดการศึกษาพิเศษ
() ความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา
() คณะกรรมการจัดทำแผน
() ความเห็นของบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้เรียน
() ข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็น
ข้อ ๔ กระบวนการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล อย่างน้อยต้องประกอบด้วย
() จัดประเมินระดับความสามารถและความต้องการจำเป็นพิเศษของผู้เรียนเป็นรายบุคคล
() กำหนดเป้าหมายระยะยาว ๑ ปี เป้าหมายระยะสั้น หรือจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
 () ประเมินความต้องการจำเป็นของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา
() กำหนดกระบวนการเรียนรู้และปัจจัยที่มีความต้องการจำเป็นทางการศึกษา
() กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ข้อ ๕ ให้สถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล สำหรับ
ผู้เรียนแต่ละคนโดยมีกรรมการไม่น้อยกว่า ๓ คน ซึ่งประกอบด้วย
() ผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้แทน
() บิดา หรือมารดา หรือผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลคนพิการ
() ครูประจำชั้น หรือครูแนะแนว หรือครูการศึกษาพิเศษ หรือครูที่รับผิดชอบงาน
ด้านการศึกษาพิเศษที่ผู้บริหารสถานศึกษามอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการในกรณีที่สถานศึกษาใดมีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านความพิการ สถานศึกษานั้นอาจแต่งตั้งให้นักวิชาการดังกล่าวเข้าร่วมเป็นกรรมการเพิ่มเติมด้วยก็ได้
ข้อ ๖ ให้คณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ประชุมเพื่อจัดทำแผน
ตามข้อ ๒ แล้วนำแผนไปสู่การปฏิบัติ กำกับ ติดตามผลการดำเนินงานตามแผน รวมทั้งจัดประชุม
เพื่อประเมิน ทบทวน และปรับแผน พร้อมจัดทำรายงานผลปีละ ๒ ครั้ง
ข้อ ๗ ในการส่งต่อผู้เรียนที่จบการศึกษาแต่ละระดับ หรือย้ายสถานศึกษาให้สถานศึกษา
นำส่งแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล รายงานผลการประเมิน การดำเนินการตามแผน แฟ้มประวัติ
และแฟ้มสะสมผลการเรียนของผู้เรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาต่อไป

ประกาศ ณ วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.. ๒๕๕๒
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตอนที่2.เด็กบกพร่องทางการเรียนรู้





LD,เด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้ในวัยต่างๆ,การจัดการเรียนการสอน,หลักสูตรสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้,การช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ในชั้นเรียนปกติ

ตอนที่1 เด็กบกพร่องทางการเรียนรู้



LD,ความบกพร่องทางการเรียนรู้,สาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้,ลักษณะพบเด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้,ประเภทความบกพร่องทางการเรียนรู้

เด็กพิการกับโอกาสในการศึกษา






ภาพยนตร์สั้นสร้างจากชีวิตจริงของเด็กชายเคราะห์ร้ายคนหนึ่ง

การวัดและประเมินเด็กปัญญาเลิศ

การวัดและประเมินเด็กปัญญาเลิศ
1. ความหมายของเด็กปัญญาเลิศ
2. ระดับของการวัดและประเมินผล

1.            เด็กปัญญาเลิศ หมายถึง เด็กที่มีความสามารถทางสมองสูง กว่าเด็กทั่วไปเป็นเด็กที่มีระดับสติปัญญาที่วัดได้จากการทดสอบมาตรฐานสูงกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 2 ขึ้นไป
2.            ระดับของการวัดและประเมินผล
ในการวัดและประเมินผลเด็กที่มีความต้องการพิเศษนั้นมีอยู่ 5 ขั้นดังนี้
@ การขัดแยกและระบุ
@ การวินิจฉัย
@ การกำหนด
@ การวางแผนการสอน
@ การประเมินผล
1.การขัดแยกและระบุ      จุดมุ่งหมายในการดำเนินงานขั้นนี้ คือ การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลงานของเด็กที่จะบ่งชี้ว่าเด็กมีความสามารถสูงในด้านที่โรงเรียนระบุไว้ ข้อมูลนี้จึงรวมถึงผลการสอบที่ครูให้เด็กทุกคนสอบ เช่น แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หรือ แบบทดสอบความถนัด ผลการสอบตามหลักสูตร
       สิ่งสำคัญที่สุดของการคัดแยก ก็คือ การใช้ข้อมูลแหล่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็กที่คิดว่าปัญญาเลิศ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อาจได้ข้อมูลจากการให้ชื่อของผู้ปกครอง ครู หรือคนอื่นๆ แล้วจึงทดสอบเพิ่มเติม แล้วสังเกตลักษณะต่างๆ ของเด็ก ที่บ่งชี้ว่าเป็นเด็กปัญญาเลิศ
     การใช้แบบทดสอบที่เหมาะสม สิ่งสำคัญในขั้นนี้ คือ ต้องมีความคงที่ของนิยามที่ใช้เรียกเด็กปัญญาเลิศ ตลอดจนกระบวนการที่ใช้ในการขัดแยกเด็ก ในการใช้แบบทดสอบที่เหมาะสม เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง หรือจะใช้แบบตรวจสอบในแต่ละคน เช่น แบบทดสอบสติปัญญาก็ควรให้ใช้แค่เพียงระบุถึงสติปัญญาโดยทั่วไป ถึงแม้แบบทดสอบสติปัญญาจะให้ข้อมูลความสามารถทางการเรียน เพราะว่าเป็นตัวพยากรณ์ที่ดี   


2.  การวินิจฉัย   คำถามที่สำคัญที่สุดที่ต้องตอบในระดับนี้ คือ ผลงานและความสามารถของเด็กอยู่ในชั้นยอดเยี่ยมกว่าคนอื่นมากพอที่จะเข้าโปรมแกรมพิเศษ และเป็นหลักฐานที่ประกันได้ว่า เด็กคนนั้นเป็นเด็กปัญญาเลิศ
        ทางเลือกในการให้บริการ หลังจากครูหรือทีมงานตัดสินใจว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปัญญาเลิศ และสมควรได้รับบริการพิเศษแล้ว ก็ต้องกำหนดว่าจะให้บริการแบบใด
        การจัดอีกแบบก็คือ การสอนเสริม และการสอนรายบุคคลในชั้นเรียนปกติ การให้การศึกษาโดยลำพัง หรือในห้องเฉพาะเด็กเก่ง                          
3.การกำหนดและการพัฒนาโปรแกรมIEP
        การตัดสินใจในระดับนี้ ก็คือ การเลือกเป้าหมายที่เหมาะสมให้กับเด็กพิการ เป้าหมายมักมองเห็นได้ชัดเจน เราต้องช่วยเสริมความบกพร่องให้เด็กพัฒนาไปในระดับตามความคาดหวังแต่ละช่วงอายุ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การดึงเด็กเข้ามาสู่มาตรฐาน ก็คือ การทำให้เด็กก้าวไปสู่จุดที่เหนือกว่า ล้ำหน้ากว่าเกณฑ์มาตรฐานปกติ เพราะเขามีความสามารถเหนือกว่าเกณฑ์ปกติ
uจุดมุ่งหมายของโปรแกรม
1.   พัฒนาระดับความเข้าใจ
2.   พัฒนาความสามรถ
3.   พัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
4.   พัฒนาผลงาน
5.   พัฒนาทักษะทางสังคม และความเป็นผู้นำ
6.   พัฒนาความรู้ความเข้าใจด้วยตนเอง      

4. การวางแผนการสอน
      ประเมินผลเด็กแต่ละคนตัดสินจากทักษะเฉพาะด้านที่เด็กได้รับการสอนมาไม่ว่าจะเป็นแบบเดียวหรือแบบกลุ่ม รวมถึงวิธีการที่ใช้ว่าสอดคล้อง กับแบบการเรียนของเด็กหรือไม่เด็กปัญญาเลิศจะพัฒนาการพึ่งพาตนเอง แรงจูงใจและการเป็นอิสระ การใช้แบบสำรวจ หรือสัมภาษณ์ครูที่เคยสอนมา ผู้ปกครองก็เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่จะบอกให้ทราบถึง ความสนใจและแบบการเรียนรู้ของเด็กได้          

5.  การประเมินผล คือการประเมินความก้าวหน้าอยู่ 2 ประการอยู่สองประการ คือ การหาเครื่องมือที่มีเพดานสูงพอที่จะวัดความก้าวหน้าของเด็กได้ถูกต้องเหมาะสม และ การตัดสินว่าเด็กมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือก้าวหน้าไปในระดับที่เหมาะสมแล้ว
         การทดสอบนอกระดับ คือ นำแบบทดสอบนอกระดับมาใช้วัดความก้าวหน้าของเด็กที่เข้าเรียนโปรแกรม และจะต้องใช้แบบทดสอบนี้ตั้งแต่เริ่มเรียนด้วย เพื่อใช้กำหนดเป็นเส้นฐาน
 หรือจุดเริ่มต้น  
           กระบวนการประเมิน ได้แก่ การประเมินผลอย่างเป็นทางการ คือ การใช้แบบทดสอบมาตรฐานแบบอิงกลุ่ม เช่น แบบทดสอบเชาวน์ปัญญา หรือการทดสอบแบบไม่เป็นทางการ เช่น การสัมภาษณ์ การประเมินค่า การตอบคำถาม เป็นต้น 

กลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ (Asperger Syndrome)

กลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ (Asperger Syndrome)
              กลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ (Asperger Syndrome) คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติทางการทำงานของระบบประสาท ที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคกลุ่มออทิสติค (Autistic spectrum disorders) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการของโรคที่มีปัญหาทางด้านพฤติกรรม และพัฒนาการทางด้านการพูด เช่น โรคออติสติค (Autism) และพฤติกรรมแปลกอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายออทิสติค
              เหตุที่จัดเป็นกลุ่มอาการของโรค เนื่องจากอาการของผู้ป่วยแต่ละคน จะมีความแตกต่างกันได้หลากหลาย ทั้งทางด้านรูปแบบของอาการแสดง และความรุนแรงของปัญหา แม้ผู้ป่วยสองคนจะมีการวินิจฉัยโรคเหมือนกัน แต่จะพบว่า อาการแสดงและความสามารถทางด้านทักษะของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันได้ค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงมักแบ่งอาการเหล่านี้ ออกตามความสามารถ และทักษะของผู้ป่วย เช่น
                 -Low-functioning คือ กลุ่มที่มีความสามารถในการพูด การใช้ภาษาและการปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นๆได้น้อย)
-High-functioning  คือ กลุ่มที่สามารถพูด ใช้ภาษาและปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นๆได้ดี
-Autistic tendencies คือ กลุ่มที่มีอาการคล้ายออทิสติค                                                                                      
-Pervasive developmental disorder คือ กลุ่มที่มีปัญหาทางด้านพัฒนาการผิดปกติ ทำอะไรซ้ำๆ ย้ำคิดย้ำทำ เพื่อใช้เรียกผู้ป่วยที่มีอาการแสดงของออทิสติค ที่มีความสามารถและทักษะต่างๆกัน ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการอยู่ในกลุ่มแอสเพอร์เกอร์นี้ มักจะมีความสามารถและทักษะต่างๆ ค่อนข้างดี เหมือนกับกลุ่มที่จัดเป็น high-functioning autism
     ในสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะมีถึง 400,000 ครอบครัว ที่มีคนในครอบครัวคนใดคนหนึ่ง ที่เป็นกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ และเนื่องจากการที่มีการกล่าวถึงโรคเหล่านี้กันมากขึ้น ทำให้มีการวินิจฉัยโรคเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้น


                แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังไม่มีการตรวจวินิจฉัยวิธีใดที่จำเพาะสำหรับโรคนี้ การวินิจฉัยส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้การประเมินด้านทักษะ และการพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆ ประกอบกับพฤติกรรมของเด็ก จึงทำให้โรคนี้มีความยากลำบากในการให้การวินิจฉัยและการรักษา
กลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์คืออะไร ?
                เมื่อปี ค. ศ. 1940 หรือประมาณ 60 ปีก่อน มีการรายงานถึงกลุ่มอาการผิดปกติทางด้านพฤติกรรม และพัฒนาการของเด็ก โดยคุณหมอ ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) ที่พบลักษณะของกลุ่มอาการเหล่านี้ ในคนไข้ของเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชายที่มีความเฉลียวฉลาด และสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์ปกติ แม้แต่การพัฒนาการด้านการใช้ภาษา ก็ดูเป็นปกติ แต่เด็กเหล่านี้มีปัญหาค่อนข้างมาก ในด้านทักษะการเข้าสังคม โดยเฉพาะการสื่อสารกับผู้อื่นให้เข้าใจ และการปฏิบัติตนร่วมกับคนอื่นๆ
              อาการแสดงของแอสเพอร์เกอร์ มักจะเริ่มแสดงออกมาในช่วงเด็กอายุประมาณ 3 ขวบ และส่วนใหญ่ กว่าจะมีอาการต่างๆให้เห็นชัดเจนวินิจฉัยได้ ก็มักจะเป็นในช่วงอายุประมาณ 5-9 ปี
              อาการแสดงที่เป็นลักษณะของแอสเพอร์เกอร์  คือ การที่มีปัญหาในการเข้าสังคมกับคนอื่นๆ ไม่ค่อยมีปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่น มีความหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหมือนเป็นแบบย้ำคิดย้ำทำ มีลักษณะการพูดที่แปลกๆ รวมทั้งพฤติกรรมบางอย่างที่แปลกไปจากธรรมดา เด็กเหล่านี้มักจะไม่ค่อยมีสีหน้าที่แสดงอารมณ์ต่างๆ เท่าไรนัก และมักจะมีปัญหาในการอ่านใจ และภาษาท่าทางของคนอื่นๆ ที่ตนเองสนทนาด้วย
 มักจะชอบทำอะไรซ้ำๆ หรือมีรายละเอียดในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันที่เหมือนๆ เดิมเสมอ และบางรายจะมีความไวต่อสิ่งเร้า ที่มาจากภายนอกค่อนข้างมากกว่าคนทั่วไป เช่น อาจจะรู้สึกรำคาญหงุดหงิดกับแสงไฟเล็กๆ บนเพดาน ในขณะที่คนอื่นๆ แทบจะไม่ได้สังเกตว่า ไฟดวงนั้นได้ถูกเปิดทิ้งไว้ หรืออาจจะชอบที่จะสวมใส่เสื้อผ้าบางชนิดซ้ำๆ กัน โดยไม่ยอมใช้เสื้อผ้าประเภทอื่นเลย
                โดยทั่วไปเด็กที่มีปัญหาในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์นี้ ส่วนใหญ่จะสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ แต่อาจจะมีปัญหาบ้าง เมื่อต้องมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ โดยอาจมีพฤติกรรมการแสดงออก ที่ไม่สมกับวัย ดูเด็กกว่าวัย (socially immature) หรือมีลักษณะแปลกๆ ต่างจากเด็กคนอื่นๆ


              ลักษณะอื่นๆ ที่อาจพบได้ในแอสเพอร์เกอร์ คือ การพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว และกล้ามเนื้อ ค่อนข้างช้า หรือไม่คล่องตัวเหมือนเด็กทั่วไป ดูเหมือนงุ่มง่ามกว่า ไม่ค่อยสนใจสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัว และอาจจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องบางเรื่องอย่างมาก เช่น อาจสนใจ หรือพูดแต่เรื่องไดโนเสาร์อย่างเดียวตลอดเวลา หมกมุ่นมากเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
               เมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก็ยังจะมีปัญหาในการเข้าสังคมกับผู้อื่น เช่น อาจจะไม่ค่อยสนใจในความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจ หรือมีอารมณ์ร่วมกับคนอื่นๆ ทำให้มีปัญหาในการปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และคนรอบข้าง พบว่าปัญหาเหล่านี้ จะยังคงอยู่ไปตลอด แม้ว่าจะมีอายุมากขึ้น และมีวุฒิภาวะมากขึ้น ตามวัยแล้วก็ตาม แต่อาการแสดงต่างๆ อาจจะมีมาก หรือน้อยเป็นช่วงๆได้

อาการและอาการแสดงของกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ ที่พบในเด็กที่พบได้บ่อย มีดังนี้คือ
1.การมีปฎิสัมพันธ์โต้ตอบกับคนอื่นๆ อย่างไม่เหมาะสมกับวัย หรือไม่ชอบที่จะเข้าสังคมกับคนอื่นๆ
2.เรื่องที่พูดคุย มักจะเกี่ยวกับเรื่องของตนเอง มากกว่าเรื่องอื่นๆ
3.มักชอบพูดซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ ด้วยคำพูดเหมือนเดิม
4.มักจะไม่ค่อยมีปฎิพานไหวพริบ ในเรื่องธรรมดาทั่วๆไป (lack of common sense)
5.มักมีปัญหาในการใช้ทักษะทางด้าน การอ่าน, คณิตศาสตร์ และการเขียน
6.มักจะสนใจหมกมุ่นกับเรื่องบางเรื่อง หรือสิ่งที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน เช่น ลวดลายแพทเทิน, วงจรไฟฟ้า หรือดนตรีคลาสสิค
7.การพูดและทักษะในการใช้ภาษาพูด อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือดีกว่าเกณฑ์ กล่าวคือ เด็กจะรู้คำศัพท์ต่างๆได้มาก และพูดได้ถูกหลักไวยากรณ์ แต่ในแง่ของเนื้อหา และการสื่อความหมายในเรื่องที่เขาพูดนั้น อาจไม่เหมือนเด็กปกติ
8.ทักษะทางด้านอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาพูดจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือต่ำกว่าเกณฑ์
9.มีการเดิน หรือการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ดูงุ่มง่าม หรือไม่คล่องตัว
10.มีพฤติกรรมแปลกๆ หรือดูไม่ค่อยมีมารยาท เมื่อเข้าสังคม
                เด็กที่เป็นแอสเพอร์เกอร์นั้น จะแตกต่างจากเด็กที่เป็นออทิสซึ่ม เพราะเด็กแอสเพอร์เกอร์ในช่วงแรก มักจะมีการพัฒนาด้านภาษาได้ตามเกณฑ์อายุ มีความสามารถในการใช้รูปประโยค และคำศัพท์ต่างๆ ในการพูดได้ค่อนข้างดีเป็นปกติ แต่เมื่ออายุมากขึ้น จะเริ่มมีปัญหาในการใช้ภาษา เมื่อเข้าสู่สังคม และต้องพูดคุยโต้ตอบกับคนอื่นๆ โดยทั่วไปเด็กเหล่านี้ มักจะสติปัญญาดี มีความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในเรื่องต่างๆ ที่ต้องทำในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ช้อนทานข้าวเอง และการแต่งตัวใส่เสื้อผ้า ได้เหมือนเด็กปกติ บางคนอาจมีปัญหาเรื่องสมาธิ ที่ไม่สามารถมีสมาธิ กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานนัก หรือมีปัญหาในการจัดลำดับเรื่องต่างๆ ในการจัดการอะไรบางอย่าง และมีทักษะในบางเรื่อง ที่อาจจะดูดีกว่าเด็กอื่น แต่สำหรับทักษะบางด้านอาจจะด้อยกว่า แต่โดยรวมแล้วเด็กเหล่านี้จะมีระดับสติปัญญาที่เป็นปกติ หรืออาจจะดีกว่าปกติด้วยซ้ำ

อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ ?
              ในปัจจุบันยังไม่ทราบว่า อะไรเป็นสาเหตุของกลุ่มอาการออทิสติค และกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า น่าจะมีหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด อาจพบร่วมกับโรคทางจิตประสาทอื่นๆ ด้วย เช่น โรคซึมเศร้า หรือ โรคจิตบางประเภท เนื่องจากเด็กเหล่านี้ อาจมีพฤติกรรมที่แปลกๆ บางครั้งดูหยาบคาย ไม่เหมาะสม ทำให้เคยมีการเข้าใจผิดว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องเช่น การขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว หรือขาดการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องจากพ่อแม่
               แต่จากการศึกษาดูครอบครัวของเด็กเหล่านี้กลับพบว่า ส่วนใหญ่ได้รับความรักเอาใจใส่ จากพ่อแม่เป็นอย่างดี และมีการเลี้ยงดูที่ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่มาจากการเลี้ยงดูที่ผิดของพ่อแม่ แต่เป็นจากปัญหาด้านการทำงานที่ผิดปกติของสมอง ที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
              ในปัจจุบันยังไม่มียาใดที่จะใช้รักษาอาการเหล่านี้ ให้หายเป็นปกติ แต่พบว่า เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่เมื่อได้รับการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง และให้ความรู้ความเข้าใจ และ คำแนะนำแก่พ่อแม่รวมทั้งทางโรงเรียนในการปรับตัว และปรับพฤติกรรมของเด็ก ก็สามารถช่วยให้เด็กเหล่านี้ อยู่ร่วมในสังคมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตได้ดีพอควร
โดยความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาพัฒนาการเด็ก ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การให้ความช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่พบว่า มีปัญหา (Early intervention) จะมีผลทำให้เด็กสามารถปรับตัวเข้าสู่สังคมได้ง่ายขึ้น เพราะยังเป็นช่วงที่สมองของเด็ก ยังมีการพัฒนาได้ค่อนข้างมาก